วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ตำนานผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อความฝัน "ริวัลโด้"



ตำนานผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อความฝัน "ริวัลโด้"


ทีมชาติบราซิล เป็นอีกหนึ่งทีมฟุตบอลที่มีนักเตะเก่งกาจมาทุกยุคทุกสมัย การันตีได้จากแชมป์ฟุตบอลโลกรวมกันมากถึง 5 สมัย แม้ว่าปัจจุบันผลงานจะไม่ดีเท่ายุคก่อนๆ แต่ทีมชาติบราซิลยังคงเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมอยู่เสมอ และในวันนี้เราจะมารู้จักกับหนึ่งตำนานนักเตะของทีมชาติบราซิล ที่เป็นกำลังหลักสำคัญที่ทำให้ทีมชาติบราซิลสามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2002 มาครองได้ อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจและเป็นต้นแบบของโลกฟุตบอลให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม "ริวัลโด้"


ริวัลโด้เกิดเมื่อวันที่ 19 เมษายน ค.ศ.1972 ที่เมืองเปาลิสต้า ประเทศบราซิล เขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนและเติบโตมาในสลัม โดยครอบครัวของเขามีรายได้หลักจากการขายน้ำและขนมปังบริเวณชายหาด ซึ่งจำนวนเงินที่ได้มาก็เป็นจำนวนน้อยมาก ทำให้ในวัยเด็กริวัลโด้ต้องทนกับสภาวะขาดน้ำและอาหารอยู่บ่อยครั้งทำให้เขาเป็นโรคขาดสารอาหาร ทำให้เขามีสภาพร่างกายที่ผอมลีบและขาเล็ก
แต่อย่างไรก็ตาม เพชรก็คือเพชร ริวัลโด้ฝึกฝนการเล่นฟุตบอลด้วยความยากลำบาก เพราะครอบครัวของเขายากจนทำให้ไม่มีเงินซื้อรองเท้าฟุตบอล เขาจึงต้องฝึกฝนฟุตบอลด้วยเท้าเปล่า จนเมื่ออายุได้ 16 ปีเขาก็ได้เซ็นสัญญากับทีมเปาลิสตาโน่ และทุกอย่างกำลังจะเป็นไปได้สวย แต่ด้วยการที่ริวัลโด้เป็นโรคขาดสารอาหารทำให้ขนาดตัวของเขาเล็กเกินไป กุนซือชุดใหญ่ของเปาลิสตาโน่จึงมองว่าริวัลโด้อ่อนแอเกินไปและไม่มีศักยภาพดีพอที่จะเตะฟุตบอล บวกกับช่วงนั้นริวัลโด้ต้องสูญเสียพ่อของเขาไปจากการโดนยิง เรียกได้ว่ามรสุมชีวิตถาโถมเข้าใส่ริวัลโด้ตั้งแต่เขายังเป็นเด็กเลยก็ว่าได้ แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องพวกนี้ไม่สามารถหยุดความฝันของเด็กคนนี้ได้เลย แม้ว่าจะยากจนจนไม่มีเงินค่ารถ แต่ริวัลโด้ก็เดินเท้าเปล่าไปซ้อมฟุตบอลทุกวัน เป็นระยะทางราวๆ 25 กิโลเมตรทุกวัน ซึ่งถ้าใจไม่รักใจไม่สู้จริงๆ คงทำอะไรแบบนี้ไม่ได้แน่นอน

ด้วยพรสวรรค์ของริวัลโด้บวกกับการตั้งใจฝึกฝนอย่างหนัก ทำให้เขาเริ่มกลายเป็นนักเตะที่ดีขึ้น จนในปี 1994 เขาได้ย้ายไปอยู่กับทีมใหญ่ของลีกบราซิลอย่างพัลเมรัสและเขาก็แจ้งเกิดอย่างเต็มตัว เพราะริวัลโด้โชว์ผลงานได้อย่างโดดเด่นและสามาถพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศมาได้ ส่งผลให้สองปีต่อมาเขาได้ย้ายเข้าไปสู่เวทีฟุตบอลยุโรปโดยสังกัดอยู่กับทีมเดปอร์ตีโว่ ลอคารุณญ่า ในลีกสเปน และเพียงแค่ปีแรกเท่านั้นริวัลโด้ก็ฉายแววของการเป็นโคตรนักเตะออกมา โดยซัดไปถึง 21 ประตู พาทีมจบอันดับที่ 3 ของลีก แน่นอนว่าความร้อนแรงของริวัลโด้ทำให้เขาอยู่กับทีมใหม่ได้เพียงฤดูกาลเดียวเท่านั้นและปี 1997 เขาก็ได้ย้ายไปสังกัดกับยอดทีมอย่างบาร์เซโลน่า และแน่นอนว่าเขาก็ยังทำผลงานได้ยอดเยี่ยมด้วยการพาบาร์เซโลน่าคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ตั้งแต่ปีแรกที่เขาย้ายไปร่วมทีม จนตอนนี้ริวัลโด้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าเขาคือยอดนักเตะคนหนึ่งของโลกที่ย้ายไปร่วมทีมไหนก็เก่ง อีกทั้งเขายังไม่ต้องใช้เวลาในการปรับตัวนาน ย้ายไปเมื่อไหร่ วันถัดไปก็ลงเล่นได้เลย

ในฤดูกาล 1998/99 เรียกได้ว่าเป็นปีที่ดีทีุ่ดของริวัลโด้โดยแท้จริง เริ่มจากในฤดูกาลนั้นเขาสามารถพาทีมชาติบราซิลคว้ารองแชมป์ฟุตบอลโลกปี 1998 มาได้ หลังจากนั้นก็พาบาร์เซโลน่าคว้าแชมป์ลีกมาครองได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน โดยที่เขาจบด้วยการเป็นรองดาวซัลโวของลีกทั้งที่ไม่ใช่กองหน้าตัวเป้า และสุดท้ายก็คือการพาทีมชาติบราซิลคว้าแชมป์ทวีปในรายการโคปา อเมริกาได้อีก และท้ายที่สุดริวัลโด้ก็ประกาศศักดากลายเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลกด้วยการทะยานไปคว้ารางวัลที่นักฟุตบอลหลายคนฝันถึงอย่างบัลลงดอร์พ่วงมาด้วยรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของฟีฟ่า พร้อมกับได้รับการยอมรับจากสื่อฟุตบอลทั่วโลกทุกสำนักว่าเขาเหมาะสมจริงๆ ที่จะได้เป็น "Number One" ในปีนั้น

เหมือนทุกอย่างจะเป็นไปได้สวยแต่สุดท้ายแล้วช่วงเวลานั้นเขาต้องเจอกับปัญหาครั้งใหญ่ในอาชีพ เมื่อกุนซือในเวลานั้นของบาร์เซโลน่าคือ หลุยส์ ฟาน กัล ที่ต้องบอกเลยว่าปรัชญานี่แรงมาแต่ไหนแต่ไร ฟาน กัล ตัดสินใจโยกริวัลโด้ไปเล่นในตำแหน่งปีกจากที่เคยเล่นหน้าต่ำมาก่อน แน่นอนว่ามันทำให้ริวัลโด้โชว์ผลงานได้ไม่ดีเหมือนเคยและก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัด โดยในช่วงเวลานั้นมีคนไปขอสัมภาษณ์ริวัลโด้และเขาก็เล่าให้ฟังว่า ' ผมได้ลองเล่นปีกมาซักพักแล้วแต่ผมอยากจะกลับไปเล่นเป็นกองกลางตัวรุก ผมอยากเล่นในตำแหน่งเบอร์ 10 ของทีม ไม่ต้องให้ผมใส่เสื้อเบอร์ 10 ก็ได้ขอแค่ผมได้เล่นตรงนั้นก็พอ พอไปเล่นปีก ผมไม่สามารถช่วยทีมได้เลย และผมอยากจะมีความสุขกับฟุตบอลอีกครั้งหนึ่ง ผมอยากเล่นในตำแหน่งที่ผมถนัด อย่างน้อยก็เพื่อตัวผมเอง เพื่อทีมและก็เพื่อแฟนๆ ทุกคน ' ซึ่งก็ชัดเจนว่าการโยกเขาไปเล่นในตำแหน่งที่ตัวเองไม่ถนัดมันทำให้เขาไม่มีความสุข จากนั้นก็ตามมาด้วยเรื่องเล่าของ เบาเดอไวจน์ เซ็นเด้น อดีตเพื่อนร่วมทีมของริวัลโด้ในตอนนั้น โดยเขาเล่าให้ฟังว่าริวัลโด้ขอฟาน กัลตรงๆ เลยว่าผมไม่อยากเล่นปีกแล้วครับโค้ช ผมอยากเล่นตำแหน่งหลังกองหน้า (กองกลางตัวรุก) ก่อนที่ฟาน กัลจะตอบกลับริวัลโด้แบบสั้นๆ มาว่า ' ได้ นายเลือกเองนะ' แล้วหลังจากนั้น ฟาน กัลก็ดร็อปริวัลโด้เป็นตัวสำรองทันที ต้องบอกว่านั่นเป็นฝันร้ายครั้งใหญ่จริงๆ ที่ริวัลโด้ต้องเจอ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ริวัลโด้อึดอัดเป็นอย่างมาก เพราะเขาเป็นนักเตะสไตล์บราซิลเลี่ยนของจริงคือต้องการอิสระ ครั้งหนึ่งริวัลโด้เคยเล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ' ที่บราซิล เวลาจะลงสนามเราจะไม่ค่อยคุยกันเรื่องแทคติคมากเท่าไหร่ และถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเล่นได้อย่างโดดเด่น โค้ชจะให้คุณเล่นอย่างอิสระ ไม่เหมือนกับที่หลุยส์ ฟาน กัล ทำ เขามักจะเน้นไปที่แทคติคและทุกคนจะต้องทำตามเขาเท่านั้น ' 

แต่อย่างหนึ่งที่ต้องชื่นชมริวัลโด้เลยก็คือแม้ว่าจะโดนโยกไปเล่นในตำแหน่งที่ไม่ถนัดและต้องถูกดร็อปเป็นตัวสำรองก็ตาม แต่อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถทำผลงานได้ดีตลอดแม้ว่าจะดูดร็อปลงไป แต่มันก็ยังถือว่ายอดเยี่ยมอยู่ดีถ้าหากเทียบกับคนอื่น และสุดท้ายด้วยความเป็นมืออาชีพและความอดทนของริวัลโด้ก็ตอบแทนเขา เมื่อหลุยส์ ฟาน กัล ต้องออกจากทีมไป และเมื่อเปลี่ยนกุนซือใหม่ริวัลโด้ได้โยกมาเล่นในตำแหน่งเดิมที่เขามั่นใจอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในฤดูกาลนั้นก็คือ 2002/01 ริวัลโด้ยิงกระจายเป็นดาวซัลโวของทีม อีกทั้งยังฝากเกมแห่งชีวิตของเจ้าตัวเอง ซึ่งยังเป็นที่พูดถึงกันจนทุกวันนี้ โดยแมตช์นั้นเป็นนัดสุดท้ายของฤดูกาลที่บาร์เซโลน่าต้องพบกับบาเลนเซีย และพวกเขาต้องลุ้นอันดับที่ 4 ทั้งคู่ ทำให้บาร์เซโลน่ามีเงื่อนไขเดียวคือต้องชนะเท่านั้น สุดท้ายเกมนั้นริวัลโด้เป็นแฮตทริกฮีโร่พาทีมชนะอย่างมหัศจรรย์ด้วยสกอร์ 3 ประตูต่อ 2 ยิ่งไปกว่านั้นแต่ละลูกที่ริวัลโด้ยิงมันสุดยอดเหนือคำบรรยาย ทำให้มันกลายเป็นแฮตทริกที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลเลยก็ว่าได้ โดยประตูแรกเขาได้จากการยิงฟรีคิกระยะไกล ประตูที่สองได้จากการยิงไกลสุดสวย และประตูสุดท้ายได้จากการยิงแบบ โอเวอร์เฮดคิกในเวลาสามนาทีสุดท้าย ซึ่งสิ่งที่เขาทำในวันนั้นมันยิ่งกว่านิยายเสียอีก ว่ากันว่าหากคุณสงสัยว่าริวัลโด้เก่งยังไง ได้รางวัลบัลลงดอร์มาได้ยังไง ให้เปิดดูแมตช์นี้แมตช์เดียวเท่านั้นจะทำให้คุณหายสงสัยในตัวเขาทันที

จากนั้นริวัลโด้ได้กลายเป็นสุดยอดตำนานนักเตะคนหนึ่งของโลกโดยเขาเป็นนักเตะคนสำคัญมากๆ ที่พาให้ทีมชาติบราซิลคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2002 มาครองได้สำเร็จ ความมหัศจรรย์ที่เขาได้ทำเอาไว้ก็คือ 5 นัดแรกเขายิงประตูได้ทุกนัด เหมือนเป็นการส่งให้ทีมเข้ารอบรองไปเลย ก่อนที่ในรอบชิงเขาจะมีส่วนร่วมในสองประตูที่โรนัลโด้ยิงได้ แน่นอนว่าฟุตบอลโลกในครั้งนั้นแม้ว่าคนที่โดดเด่นจะเป็นโรนัลโด้แต่ริวัลโด้ก็ถือว่ามีความสำคัญไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย

สำหรับจุดเด่นของนักเตะคนนี้ต้องบอกว่าครบเครื่องจนน่ากลัวจริงๆ ริวัลโด้เป็นนักเตะที่มีความเป็นบราซิลเลี่ยนอยู่ในตัวสูงมากๆ ทำให้เขามีมุมมองและเทคนิคที่ดีกว่าคนทั่วไป อีกทั้งเขายังเป็นคนที่จบสกอร์ได้โหดสุดๆ ทำประตูได้ทุกรูปแบบโดยเฉพาะการยิงจากหน้ากรอบเขตโทษ ไหนจะลูกฟรีคิก ลูกนิ่ง ตีลังกายิง ลากไปยิง เขาทำได้ดีหมดทุกอย่าง โดยข้อดีอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นขึ้นมาอีกก็คือการถนัดเท้าซ้ายที่จับทางได้ยาก ทำให้ริวัลโด้เป็นโคตรนักเตะที่เก่งไปทุกอย่าง ครบเครื่องมากๆ หลังจากนั้นริวัลโด้ก็ต้องย้ายออกจากบาร์เซโลน่าเพราะการกลับมาคุมทีมของหลุย ฟาน กัล แน่นอน ใครจะอยู่ให้โดนโยกไปเล่นปีกอีกรอบ

ครั้งนี้ริวัลโด้ได้ย้ายไปสังกัดกับทีมชั้นนำของอิตาลีอย่าง เอซี มิลาน และกับมิลานแม้ว่าจะไม่สามารถโชว์ฟอร์มได้ร้อนแรงเหมือนเดิม แต่มันก็สามารถเติมเต็มโปรไฟล์ของริวัลโด้ให้ยอดเยี่ยมขึ้นไปอีก เพราะเขากับเอซี มิลานสามารถคว้าแชมป์รายการ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีกส์ ได้สำเร็จ ก่อนที่เจ้าตัวจะเริ่มการพเนจรด้วยการย้ายไปหลายต่อหลายทีม ลีกต่อหลายลีก ไม่ว่าจะเป็น กรีซ , อุซเบกิสถาน ลามไปถึงลีกแองโกล่า ริวัลโด้ก็ไปมาแล้ว แต่สุดท้ายแม้ว่าจะดูเป็นการย้ายแบบพร่ำเพรื่อ แต่กลายเป็นว่าในทุกทีมที่เขาไปเขาสามารถยิงให้กับทีมจนพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดมาได้ นี่จึงเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าริวัลโด้คือยอดนักเตะอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเมื่อปี 2008 กับทีมบูนิออดคอร์ ทีมในลีกอุซเบกิสถาน ที่แม้ตอนนั้นเขาจะอายุ 37 ปี แล้วก็ยังสามารถยิงจนพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดมาครองได้และเป็นดาวซัลโวของลีกอีกด้วย ส่วนนี้มันทำให้เห็นจริงๆ ว่านักเตะคนนี้มีพรสวรรค์และระเบียบวินัยที่ดีมากๆ จะเมื่อไหร่ อายุเท่าไหร่ ที่ไหน เขาก็ยังเก่ง โดยริวัลโด้ผจญภัยค้าแข้งจนถึงอายุ 43 ปี เลยที่เดียวถึงจะยอมประกาศแขวนสตั้ด ซึ่งในจุดๆ นี้ก็ทำให้เห็นว่านักฟุตบอลอาชีพที่รักฟุตบอลมากๆ และทั้งชีวิตมีแต่การเล่นฟุตบอลมันยากจริงๆ ที่จะเลิกทำในสิ่งที่เขารัก นักเตะบางคนอย่างริวัลโด้คงจะทำใจลำบากที่จะต้องแขวนสตั้ดไป แต่ท้ายที่สุดการเดินทางในฐานะนักฟุตบอลอาชีพมานานกว่า 24 ปี ก็ได้สร้างแรงบันดาลใจไว้มากมายและเป็นต้นแบบที่ดี

นี่คือนักเตะที่เริ่มต้นชีวิตอย่างติดลบ
นี่คือนักเตะที่หลายอย่างบอกว่าเขาไม่ควรเล่นฟุตบอลแต่เขาไม่สน
นี่คือนักเตะที่เคยเป็นโรคขาดสารอาหารเพราะความยากจน
นี่คือนักเตะที่ต้องเดินเท้าเปล่ากว่า 20 กิโลเมตรเพื่อต่อสู้กับความฝัน
นี่คือนักเตะที่ต้องเจอกับอุปสรรคมากมายแต่ก็ฝ่าฟันมาได้
นี่คือนักเตะที่รักฟุตบอลสุดหัวใจและเขาไม่ยอมที่จะเลิกเล่นมันง่ายๆ
นี่คือนักเตะที่ดีที่สุดคนหนึ่งของโลกและเป็นต้นแบบให้กับคนรุ่นหลังและนี่คือ "ริวัลโด้"

อ้างอิง

https://www.youtube.com/watch?v=mHnkJbPUHAM






อ้างอิง




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น